หนึ่งเดือนกว่าๆ ผ่านไปอย่างเร็วมาก เป็นโอกาสที่หายากมากๆ ที่จะได้ปั่นจักรยานที่นี่ เนื่องด้วยเวลาและสภาพอากาศไม่อำนวย ตอนอยู่เมืองไทยก็คิดว่าอากาศหนาวๆ น่าจะปั่นจักรยานสนุก พอมาจริงๆแล้วกลับยากกว่ามากที่จะพาตัวเองออกจากห้องอุ่นๆ มาสัมผัสอากาศเย็นๆด้านนอก อุณหภูมิช่วงนี้อยู่ที่สิบกว่าองศา ใส่ชุดกันก็สามสี่ห้าชั้น ก่อนจะออกจากบ้านต้องตรวจสอบพยากรณ์อากาศทุกครั้ง เพราะหนึ่งวันอาจจะมีหลายสภาพอากาศ เราพยายามหาวันที่อากาศดี มีพระอาทิตย์ มีแสงแดด เพื่อออกมาปั่นจักรยาน
เมืองที่อยู่ชื่อ Frankston เป็นเมืองที่ห่างจาก Melbourne ประมาณ 1 ชั่วโมง เงียบ สงบ คนน้อยมาก เหมือนเมืองในป่า เพราะได้ยินเสียงนกนานาชนิดส่งเสียงทักทาย จู๊กกรู่ๆ จุ๊บจิ๊บๆ กรูๆ ฯลฯ นกหลากสีสันบินมาทักทาย ที่ริมอ่าวเราเจอนกนางนวลบินโ้ต้ลมเป็นฝูงใหญ่
ครั้งนี้ไม่ได้เอาจักรยานมาด้วย เพราะที่ รร. มีจักรยานให้ แต่กว่าจะได้ปั่นก็ต้องเอาจักรยานมาปะยาง สูบลม หยอดน้ำมัน ทำความสะอาดก่อน จักรยานหลายคันถูกเก็บไว้ในตู้ ประมาณว่าไม่ได้ถูกใช้งานเลย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพที่ใหม่มาก หลังจากฟื้นชีวิตจักรยานแต่ละคันแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือ หมวกกันกระแทก หรือ หมวกจักรยานนั่นเอง ที่นี่มีกฏว่าทุกคนที่ปั่นจักรยานต้องใส่หมวก ตอนนี้มีจักรยานแล้วแต่ยังไม่มีหมวกก็เลยยังปั่นไม่ได้
เราตั้งใจจะไปเที่ยว Melbourne อยู่แล้ว และจำได้ว่าที่นั่นมีหมวกจักรยานขายใน 7-11 เราได้หาข้อมูลและเดินทางไปเพื่อภาระกิจซื้อหมวกจักรยานนี่แหละ ทีแรกคิดว่าจะมีขายทุกร้าน เราเห็นจักรยานสาธาณะสีน้ำเงินจอดอยู่ตามจุดต่างๆ ตั้งใจว่าจะมาลองยืมจักรยานปั่นชมเมืองสักหน่อย แต่ถามกี่ร้านๆ ก็ไม่มีหมวกขาย ไปตามตู้ให้กดซื้อหมวกก็พบว่าตู้ไม่ทำงานแล้ว กว่าจะเจอร้าน 7-11 ที่มีขายหมวกจักรยาน ก็ต้องเป็นร้าน 7-11 ที่ใหญ่ๆ ก็ไม่เหลือเวลาให้ปั่นจักรยานแล้ว เพราะต้องเดินทางกลับ รร. ครั้งนี้เลยได้แค่หมวกจักรยานกลับมา
รอเวลาวันอากาศดีอีกครั้งเพื่อออกปั่นจักรยาน โน่นเลย อีก 5 วัน ที่เหลือฝนตกตลอดๆ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง ยามเช้าต้องอยู่ รร. ฝึกวิชาก่อน กว่าจะได้ปั่นก็ตอนเย็น และต้องกลับมาถึง รร. ก่อนพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย มีเวลาปั่นแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่ง
หมวกพร้อมจักรยานพร้อม เราปั่นออกจาก รร. ช่วงนี้ยังไม่มีทางจักรยานเฉพาะ แต่รถที่นี่ขับได้ไม่เร็วมาก เราปั่นชิดไปตามทางถนน ไม่เกิน 500 เมตร ก็ถึงถนนสายหลัก เราก็เจอทางปั่นจักรยานที่อยู่ฟุตบาท เป็นทางปูนเล็กๆที่ไม่กว้างมาก ข้างๆ เป็นหญ้าและต้นไม้ วันนี้เราเลือกเส้นทางในเมืองก่อนเพราะมีเวลาน้อย
ตลอดทางที่ปั่นเราสังเกตุเห็นว่าแต่ละทีจะมีป้ายบอกระยะทาง ว่าจากจุดนี้ไปถึงอีกที่กี่กิโลเมตร แต่เราไม่เห็นไฟทางเลย สองข้างทางมีแต่หญ้าและต้นไม้ เส้นทางจักรยานถูกแยกออกมาจากถนนรถยนต์ เหมือนคนละทิศเลย เส้นทางจักรยานที่ผ่านจะเลาะริมทางด่วน ทางรถไฟ และหมู่บ้าน ผ่านสวนสาธารณะ ไม่ได้เกาะไปตามสายถนนหลัก แต่จะเป็นทางสายในที่อากาศดีกว่า ไม่มีกลิ่นควันรถ เราเลือกใช้เส้นทาง Peninsula Link Trail จุดหมายของเราวันนี้ Frankston Pier ผู้ร่วมปั่นกับเราวันนี้ค่อนข้างมือใหม่ ต้องเรียกว่ายังใช้เกียร์จักรยานไม่คล่อง และจักรยานที่นี่ก็ขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ร่วมทริปอีกด้วย
เส้นทางที่นี่ถือว่าเรียบและปลอดภัยมากๆ สำหรับมือใหม่ปั่นได้แบบไร้กังวล แม้ว่าจะเป็นทางขึ้นเนินลงเนิน หรือผ่านทางรถไฟ ทางแยก ก็ทำเอามือใหม่มั่นใจ ไร้ความกังวล เพราะตามทางแยกที่มีถนนในหมู่บ้านก็จะมีเหล็ก หรือ เสา ที่เหมือนสัญญาณให้ชลอความเร็ว และช่วงที่จะปั่นผ่านทางรถไฟ เหล็กที่กั้นก็จะบังคับให้เราปั่นโค้งไปมาก่อนแล้วถึงจะเจอทางรถไฟ แบบว่าบังคับหยุดไปในตัว ส่วนตามทางแยกที่เป็นถนนสายหลักจะมีเหล็กให้เกาะเพิ่ม เพื่อรอไฟสัญญาณข้ามแบบไม่ต้องเอาขาออกจากบันไดปั่น
ขากลับเราลองออกจากเส้นทางจักรยาน มาใช้ทางจักรยานที่อยู่ตามฟุตบาทริมถนน และในหมู่บ้าน เพราะรู้สึกว่าทางจักรยานไม่มีไรให้ดูมากเท่าไรนอกจากต้นไม้ แต่ทางที่บ้านคนอยู่อาศัยนั้น แต่ละบ้านสร้างไม่เหมือนกันเลย สวนที่จัดหน้าบ้านก็ไม่ซ้ำกันสักหลัง ปั่นดูเพลินมากๆ เหมือนเข้าไปในหนังสือบ้านและสวน
ชั่วโมงครึ่งผ่านไปแบบว่าได้เหงื่อซึมๆ หายหนาวกันไปเลย ได้ปั่นแล้วรู้สึกสดชื่นมากๆ ถึงแม้จะต้องปั่นขึ้นเนิน แต่เพื่อนร่วมทางมือใหม่ก็ไม่มีบ่นว่าเหนื่อยสักนิด มีแต่บอกว่าอากาศดีมากๆ เหมือนเราปั่นอยู่ในป่าเลยนะ ถ้าหลับตาก็ได้ยินแต่เสียงนก เสียงธรรมชาติ แต่พอลืมตาก็เห็นว่ามีบ้านเรียงรายคู่กับต้นไม้ แบบนี้คงต้องเรียกว่าเมืองในป่าสินะ 🙂