การเดินทางครั้งนี้มีโจทย์ว่าต้องขนจักรยานขึ้นรถตู้ หลังจากลงเครื่องบิน ต้องคันเล็กพับได้สินะถึงจะเหมาะและสะดวกขน ครั้งนี้เราจะไปใต้สุดแดนสยาม
หลังจากลงเครื่องที่หาดใหญ่ก็ได้พี่เณย์มารับไปส่งที่ท่ารถตู้ พี่เณย์เป็นนักปั่นที่อยู่หาดใหญ่ที่ทำเรื่องของทริปชวนมือใหม่ปั่น สอนซ่อม จัดรายการวิทยุเรื่องจักรยาน แต่งานหลักจริงๆแล้วพี่เณย์เป็น นักดนตรี ช่างซ่อมเครื่องดนตรี แต่มีใจรักจักรยาน
รถตู้มี 2 เส้นทาง คือ หาดใหญ่–เบตง และ หาดใหญ่–มาเลเซีย–เบตง ขาไปลองแบบผ่านมาเลเซีย ความต่างที่เห็นชัด คือ ผิวถนน ฝั่งมาเลถนนเรียบกริบ ตลอดทางมีต้นไม้เขียวครึ้ม พอเข้าฝั่งไทยก็รู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือน ช่วงที่ข้ามแดดก็ต้องเตรียม passport ไปรายงานตัว ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง รถตู้จะไปส่งให้ถึงที่พัก เพียงแค่บอกชื่อโรงแรม
ไปถึงอย่างหิวโซ ซักไก่เบตงก่อนเลย อร่อยมาก มีแรงไปปั่นชมเมืองแล้ว เก็บให้ครบทุกที่ ทุกตรอกซอย เพราะเรามีเวลาถึง 6 วัน สำหรับที่นี่ ถนนเบตงเส้นหลักปั่นง่ายๆ แต่แค่เลี้ยวซ้ายหรือขวาเข้าซอยจะเปลี่ยนเป็นเนินให้พิชิตทันที เริ่มจากทางเรียบๆก่อนละกัน
หอนาฬิกา บริเวณนี้นกเกาะอยู่บนสายไฟเยอะมากๆ ต้องระวังโชคดีอึนกตกมาใส่หัวนะ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ แปลกดีนะทำไมมีอุโมงค์ที่นี่ด้วย อ๋อ แทนที่จะข้ามเขา ก็เจาะภูเขาเชื่อมสองฝั่งเข้าหากันนี่เอง ออกไปก็เจอไก่สองตัวรอต้อนรับ จากนี้ไปมีแต่เนินแล้วละ จุดชมวิว ขึ้นไปมองเห็นเบตงทั้งเมือง สูงจริงๆ ที่อยากมาเห็นก็คือ สนามกีฬา แค่จะมาออกกำลังกายก็ต้องเดินขึ้นมาแล้ว ยังมีแรงวิ่งรอบสนามกีฬากันอีก คนที่นี่แข็งแรงและหุ่นดีเพราะแบบนี้เอง
มาเบตงก็ต้องมาดูตู้ไปรษณีย์ จิบชา แล้วก็แช่บ่อน้ำร้อน คราวนี้ได้ปั่นยาวๆแล้ว 20 กม. ไม่ต้องกลัวรถเลยนะ ถนนโล่งมากๆ มีแต่บังเกอร์กับทหาร ผ่านสุสานด้วยนะก่อนถึง น่าเล่นจังเลย แต่ก็ได้แค่เอาขาจุ่มน้ำ ส่วนมือก็ถือไอติมกินคลายร้อน เจอคุณครูพาเด็กๆมาทัศนศึกษา ได้โอกาสเลยขอติดรถกลับด้วย จะได้อยู่ที่นี่นานขึ้น ที่นั่งก็เลยพิเศษสุด ต้องเกาะแน่นๆ อยู่ท้ายรถจี๊บทหาร
ศาลเจ้า วัดจีน วัดไทย สวยมากๆ เพราะฉากหลังเป็นภูเขาเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ ที่หลงรัก น่ารักมากๆ ก็คือโรงเรียนจงฝามูลนิธิ ไม่ต้องกลัวเด็กๆจะอ้วน เพราะต้องเดินขึ้นเนิน ตัวอาคารดูคล้ายป้อมปราการกำแพงเมืองจีน เจาะรูหน้าต่างแบบโค้ง รอบๆ ที่ภาพการ์ตูนน่ารักกับตัวหนังสือภาษาจีน ต่อด้วยมัสยิด
ยามเช้ามีลานออกกำลังกาย รำพัด มาลองรำได้นะ คนที่เป็นมิตร ใจดี และดีใจมากที่คนกรุงเทพอย่างเรากล้ามาเที่ยวที่นี่ ปกติที่นี่มีแต่ต่างชาติมาเที่ยวนะ คนมาเล คนสิงค์โปร์ ส่วนคนไทยน้อยมากๆ นอกจากคนในพื้นที่ ของกินอีกอย่างที่เจ้าถิ่นพามาลองคือ ติ่มซำ มื้อเช้าเลยนะ ปกติเคยกินแต่ตอนเที่ยง คนที่นี่กินเป็นอาหารเช้านะ
อีกอย่างที่ต้องแวะด้วยกาศเป็นใจให้หาอะไรเย็นๆกิน เฉาก๋วยเบตง ก่อนจะขึ้นไปสัมผัสเมืองหนาว ที่มีหมอกทั้งปี สวนหมื่นบุปฝา ขึ้นเขาอย่างเดียวเลยนะ บรรยากาศเหมือนอยู่เมืองจีน สื่อสารกันเป็นซาวน์แทร็ค ขึ้นมาบนนี้ใกล้ๆ มีอุโมงค์ปิยะมิตร เดินเขาไปชมได้ระยะทาง 1 กม. เคยเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์
เบตงยังมีต้นไม้ใหญ่มากๆ ต้นไม้นี้อยู่ในป่า งานนี้ต้องมีจ้างเจ้าถิ่นนำทางพาเดินเข้าไป ตื่นตามากๆ ไม่เคยเห็นต้นไม้ใหญ่ขนาดเราไปยืนแล้วเป็นแมลงตัวน้อยมาเกาะที่โคนต้นไม้ อายุน่าจะหลายร้อยปี รู้จักกันแล้วนะ ต้นสมพงษ์ ในป่าลึกลับยังมีอาคารพิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์ ในนั้นมีแต่อาวุธสงคราม แง้ๆ จะหนีออกมา มันโหดร้าย แต่ไกด์ก็จะบรรยายให้ฟังอย่างละเอียด รีบเดินอย่างไวเลยเรา จบแล้วค่ะ ออกแล้วนะ
ขากลับก็ลองนั่งรถตู้อีกสาย วนๆ ลงเขา จนเมา สลบ วิวสวยแค่ไหนก็ไม่รู้ น่ากลัวหรือเปล่าก็ไม่เห็น รู้แต่ทรมานร่างจัง เมื่อไรจะถึงหาดใหญ่สักที
เบตง โอเคมาก มาได้ไม่ต้องคิดมาก คนที่นี่รอตอนรับคนไทยด้วยกันอยู่ตลอดนะ