สรุปว่าเพื่อนเลือกบ้านหลังที่เพื่อนเคยมานอนเล่นตอนเด็กๆ ที่เรียกว่า อุ้ย เป็นสรรพนามคนแก่ที่ให้กำเนินพ่อ เราอยู่บ้านหลังนี้กัน เพราะสงบเงียบ ติดวัด อยู่ในซอยห่างจากถนนหลักในหมู่บ้าน
เราตั้งใจหาอะไรทำกันเริ่มจากปั่นไปดูสวน ดูว่าจะปลูกอะไรได้ไหม วิชาเกษตรที่ไม่มีความรู้เลย รู้แต่ว่าต้องหาอะไรทำเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ต่อได้ยาวๆ ด้วยความที่แถวนี้ใครๆก็ปลูกผักกินเอง ตลาดก็เลยแทบไม่มีอะไรขาย ช่วงแรกก็ปั่นไปขอเก็บผักจากบ้านญาติเพื่อนมาทำอาหารกิน ไปเก็บทุกวันทุกมื้อก็เกรงใจ ขอซื้อก็ไม่ขาย เลยขอเรียนวิชาปลูกผัก
พี่ที่เป็นเจ้าของบ้านอุ้ยที่เพื่อนพาเราไปอยู่ก็ใจดีมาก น้องมีอะไรกินไหม เก็บผัก ผลไม้ที่บ้านมาฝากทุกครั้งที่มาหา บอกว่าอยู่ไปเลย อ้ายไม่ได้อยู่ ปกติก็ไม่มีใครอยู่ ถ้าอยากหัดปลูกผักก็ใช้ที่สวนหลังบ้านได้เลย ไม่ต้องปั่นไปไหนไกล
เพื่อนก็เลยพาเราไปกาดวัว เป็นตลาดนัดที่ใหญ่มากๆ สองฝั่งถนน ซึ่งเปิดแค่ครึ่งวัน กว่าจะเรียงของจัดร้านเสร็จก็น่าจะใช้เวลาอยู่ แต่ละร้านของก็เยอะมาก แต่ที่นี่ก็ไม่มีใครขายเกินเวลา ถึงเวลาก็ปิดร้าน มีตั้งแต่ วัว ไก่ ต้นไม้ ของกิน เสื้อผ้า พระเครื่อง ตระกร้าสาน มอเตอร์ไซด์มือสอง ฯลฯ ส่วนเราไปซื้อ จอบมาขุดดิน
นอกจากนั้นก็ไปเรียนรู้จักไส้เดือน เพราะปลูกผักต้องใช้ดินที่ดี ใครๆ ก็บอกว่าดินมูลไส้เดือนนั้นดีมาก เราเลยปั่นไปหาพ่อหลวงของหมู่บ้านซึ่งน่ารักมากและใจดีมาก พาพวกเราไปรู้จักลุงที่เลี้ยงไส้เดือน ขอซื้อแบ่งมาหนึ่งขีด เอามาทดลองเลี้ยง ใส่กระป๋องกลับมา ตัวมันนิ่มและยาวๆ ยังไม่กล้าใช้มือเปล่าจับเลย
พอมีไส้เดือนแล้วก็ต้องหาอาหารให้ไส้เดือน เพื่อนก็พาปั่นไปหาป้าที่เลี้ยงวัว ไปขอซื้อขี้วัวตากแห้ง เราขนมาไม่ไหวหรอก ได้ลุง ป้า พี่ ที่เป็นญาติเพื่อนช่วยขนมาให้ เขามีมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง
ยังไม่ได้ปลูกเลย ต้องถางหญ้าออกก่อน เหมือนตลอดมาใช้แต่ขาปั่นจักรยาน พอมาจับจอบก็ไม่มีแรงมากพอ กว่าจะเคลียร์หญ้าออกหมด ก็ใช้เวลาไปหลายวัน
มีดินแล้วมีขี้วัวแล้วก็ยังไม่พอ ต้องปั่นไปดักรอที่โรงสีข้าวของหมู่บ้าน ตอนแรกเราไปตอนเย็นก็ไม่เจอใคร ปั่นมาตอนเช้าอีกรอบจะขอซื้อแกลบ ก็ยังซื้อไม่ได้ เพราะต้องเอาถุงมาใส่เอง ก็ปั่นกลับบ้านไปเอาถุงมาใส่ ดีนะลุงบอกจะช่วยตักให้ และจะเอาไปส่งที่บ้านให้ด้วย เพราะจักรยานไม่น่าจะไหว
คิดว่าจะปลูกอะไรบ้าง เอาที่กินเป็นก่อน เราไปกาดวัวกันอีกรอบ ไปซื้อเมล็ดผัก
ยังต้องปั่นไปเก็บฟางมาคลุมดินอีกด้วย คราวนี้เก็บมาทีสองกระสอบเลย เพราะฟางแค่เกะกะแต่ไม่หนัก
พอพวกเราเริ่มปลูกมันยังไม่โตง่ายๆ ระหว่างนี้เลยยังต้องไปเก็บผักบ้านญาติเพื่อนอยู่ดี นอกจากอยู่ง่ายแล้ว ยังต้องกินง่ายอีกด้วย เพราะมันไม่ได้ มีผักกะหล่ำปลี แบบที่วันนี้อยากกินเมนูนี้ทำเมนูนี้ดีกว่า โน่นเลยต้องรอฤดูหนาว ช่วงนี้มีมะละกอ ก็เอามาต้ม มาผัด ทำส้มตำ
เพื่อนพาปั่นไปสวัสดีผู้อาวุธโสในหมู่บ้านทีละหลัง เราก็เลยได้ปั่นไปทั่ว บ้านแต่หลังที่ไปเยี่ยมทักทาย ก็เป็นเรือนไม้หลังโต ที่ยังขัดเงา เดินลื่น เข้าไปแล้วเย็นสบาย แต่ละคนดูแข็งแรงมากๆ เกินอายุ น่าจะเพราะ อยู่กับธรรมชาติ กินแบบธรรมชาติตามฤดูกาล ที่มากกว่านั้นคือ แต่ละคนไม่ว่าหญิงหรือชายชอบไปวัดสวดมนต์มากๆ
ใครที่ยังเดินคล่องทำอะไรคล่องๆ บ้านอยู่ติดวัดมากๆ แบบเดินก็ถึง ตื่นก็ทันไปใส่บาตร แต่…วันพระต่างๆ ก็ยังไปนอนค้างที่วัด ไม่ได้แค่ไปนอนค้าง เอาอุปกรณ์ไปทำอาหารด้วย แต่ละบ้านจะมีหม้อที่มีชื่อเขียนไว้ ทีแรกก็ยังถามเพื่อนว่าต้องเขียนชื่อทุกใบเลยหรอ เขาบอกเวลาเอาไปวัดแล้วทุกคนก็ใช้เหมือนกันตอนเอากลับจะได้ไม่สลับหรือใครลืมก็ส่งกลับมาคืนถูกบ้าน
ความลับของอุ้ยอายุ 99 ตอนที่เราปั่นไปหา ตอนนี้ก็เกินร้อยแล้วสิ เราฟังภาษาเหนือไม่ค่อยรู้เรื่องนะ แต่บทสวดนี้จำได้ เพื่อนถามอุ้ยไปว่า ทำยังไงให้อายุยืน ? อุ้ยตอบว่ากินผักและสวนมนต์ แล้วก็เริ่ม อิติปิโส….สวดยาวให้ฟัง
นอกจากเรียนรู้การปลูกผักแล้ว เรายังปั่นไปเรียนทำขนม พ่อหลวงบอกว่าป้าคนนี้ทำขนมอร่อยให้เราปั่นไปหา พอปั่นไปหาว่าจะขอเรียนทำขนม ป้าก็นัดวัดและให้รายการวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสม ส่วนอุปกรณ์มาเอาที่บ้านป้าใช้
คราวนี้เลยได้ปั่นเข้าไปในสวนมะพร้าว สอยทีละลูกลงมา เราดูไม่เป็นว่าลูกแบบไหนเนื้อแบบไหน ก็เฉาะชดน้ำกันตรงนั้น ชิมตรงนั้น ว่าเนื้อใช้ได้ไหม ไม่ได้แข็งไป ซดน้ำไปแทนพี่เจ้าของสวนก็ใจดีมาก คิดเงินแค่ลูกที่ใช่ หมายถึงเนื้อมะพร้าวที่ใช้ทำขนมได้ ส่วนลูกที่ใช้ไม่ได้ ให้ดื่มแต่น้ำมะพร้าว ไม่คิดเงิน
แล้วก็ปั่นไปสวนกล้วยเพราะต้องใช้ใบตอง ป้าก็เอาเคียวมาแล้วหยิบเชือกกล้วยมาพันกับไม้ที่วางอยู่แถวนั้น มันดูเหมือนง่ายมากแค่หมุนๆไปมาก็แน่นแบบเกี่ยวใบกล้วยลงมาทีละใบ ไม่มีวี่แววว่าเคียวจะหลุดจากด้าม พอได้ครบตามต้องการ ก็หมุนๆเชือกกล้วยที่รัดไว้ออก ก็เหลือเคียวสั้นๆ ถือกลับบ้านได้
อยู่ที่สันป่าตองจะปั่นไปซอยไหนก็ทะลุถึงกัน ไม่ต้องกลัวรถ เพราะนับจำนวนคันที่ผ่านได้ เลี้ยวซ้ายก็เจอทุ่งนา เลี้ยวขวาก็เจอสวน สลับกับวิวภูเขาตลอดทาง ถ้าใครชอบธรรมชาติ และอยู่ง่ายๆ กินง่ายๆ ใช้ชีวิตง่ายๆ ที่สันป่าตองก็น่าสนใจมาก แต่เหมือนไม่มีใครอยากจะขายที่เลย มีแต่จะเก็บไว้ให้ลูกหลาน เพราะตั้งราคาไว้สูงลิบเกินราคาประเมินมากมาย
คุณลุงรุ่นใหญ่อายุแปดสิบก็ยังปั่นจักรยานไปสวน แล้วเด็กๆแถวนี้ไปอยู่ไหน เราไปเจอพวกเขากำลังเล่นสเก็ตบอร์ดอยู่ในโรงเรียนที่สอนดนตรีไทย ใช่พอเลิกซ้อมดนตรี พวกเขาก็เต้น เล่นสนุกตามวัย ครูเจ้าของโรงเรียนก็ใจดี ให้เปิดเพลงยุคสมัยนี้เสียงดังได้ จะเล่นดนตรีสมัยใหม่ก็ไม่ว่ากัน แต่ถึงเวลาซ้อมดนตรีไทยก็มาซ้อมแล้วกัน เด็กได้ไปออกงานแสดงกันด้วยและได้ค่าขนมด้วย
พอโตขึ้นหน่อยก็เขาเรียนให้เมือง หรือเข้ากรุงเทพฯกัน ส่วนคนวัยทำงานอยู่ กมม. กันส่วนใหญ่ ที่นี่ถ้าไม่เด็กที่ยังอยู่ในวัยเรียนก็จะเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรง 80 ปี 90 ปี เดินยังไหว ปั่นจักรยานก็ได้ แต่หลายบ้านก็เปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า
ได้ใช้ชีวิตที่นี่สามเดือน เพราะเพื่อนก็เกรงใจพี่เจ้าของบ้าน บอกว่าอยู่แค่สามเดือนพอ ต้องหาที่เช่าอยู่ให้ได้ ติดใจมากมาย ทุ่งนา ภูเขา ในหัวมีแต่ โคก หนอง นา และ บ้านดิน แต่พอได้ลองทำแล้ว มันยากตั้งแต่ขุดดินเลยละ ร่ายกายไม่ไหวขนาดนั้น ต้องเปลี่ยนแผนเลยเรา
ขอบคุณเพื่อนที่น่ารักและญาติพี่น้องทุกคน ขอบคุณมิตรภาพจากทุกบ้าน ที่นี่บ้านแม่กุ้งบก สันป่าตอง น่าจะมีหลายบ้านเปิดเป็น home stay นะ